จุดจบประชาธิปไตย 8.1
ในขณะที่ฮุสเซนดำเนินรอยตามสุหนี่แบบดั้งเดิม อิบนุ ซะอูด ผู้ที่จะก่อตั้งซาอุดิอาราเบียในอนาคตเป็นหัวหน้าของขบวนการวาฮาบีย์ ที่เป็นฝ่ายสุหนี่อนุรักษ์นิยมสุดขั้ว โดยทำตามคำสอนของนักศาสนวิทยา Mohammed ibn Abdul Wahhab ซึ่งเกิดในปีคศ1703 กองทัพของ อิบนุ ซะอูดเป็นพวกIkhwani หรือสายทหารของเผ่าเบดูอิน (Bedouin)ที่ได้รับคำสอนจากครูสอนศาสนาให้มุ่งมั่นในการทำให้อิสลามมีความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง และให้สนับสนุนรัฐบาลที่ใช้กฎหมายอิสลามที่เคร่งครัด
ในช่วงสงครามโลกครั้งที่1 อังกฤษเซ็นสนธิสัญญากับอิบนุ ซะอูด โดยรับรองว่าเขาเป็นผู้ปกครองของจังหวัดNejd ที่เป็นที่ตั้งของกรุงริยาห์ดในปัจจุบัน โดยจะได้รับการคุ้มครองจากอังกฤษ และอังกฤษให้เงินสนับสนุนแก่Ibn Saud 5,000ปอนด์ต่อเดืิอน ซึ่งน้อยกว่าฮุสเซนที่ได้รับ 12,000 ปอนด์ ต่อเดือน รัฐบาลอังกฤษให้โน้มเอียงไปในทางสนับสนุนฮุสเซน แต่เจ้าหน้าที่อังกฤษที่ทำงานภาคพื้นดินมีความเห็นว่าอิบนุ ซะอูดน่าจะเหมาะสมกว่าที่จะได้รับการสนับสนุนจากอังกฤษให้ครอบครองดินแดนอาราเบีย
การเผชิญหน้ากันระหว่างฮุสเซนและอิบนุ ซะอูดเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ จะเห็นได้ว่าอังกฤษถือหางทั้งสองฝ่าย แล้วแต่จะกำหนดเกมให้ใครชนะ ปรากฎว่ากองทัพของอิบนุที่มีทหาร150,000คน ซะอูดสามารถมีชัยเหนือฮุสเซน มีคนตาย400,000คนจากสงครามครั้งนี้ ซึ่งโหดเหี้ยม เพราะว่าไม่มีการจับเชลย อิบนุ ซะอูดได้ครอบครองดินแดนอาราเบีย โดยแบ่งแยกออกเป็นมลฑลแล้วให้ญาติสนิทไปปกครองเหมือนกับที่ปฎิบัติทุกวันนี้ ในปี1922 รัฐบาลอังกฤษ โดยนายWinston Churchill รัฐมนตรีว่าการอาณานิคมเพ่ิมเงินสนับสนุนอิบนุ ซะอูด100,000ปอนด์ต่อปี ต่อมาเชอร์ชิลล์เป็นนายกอังกฤษ
เชอร์ชิลล์กล่าวในสภาผู้แทนของอังกฤษในเดือนกรกฎาคมปี 1921ว่า พวกวาฮาบีย์ของอิบนุ ซะอูดเป็นพวกที่ไม่มีความอดทนต่อความแตกต่างติดอาวุธอย่างดี กระหายเลือด พวกเขาถือว่าเป็นหน้าที่ และเป็นความศรัทธาที่จะฆ่าทุกคนที่ไม่เห็นด้วย และเอาผู้หญิงและเด็กเป็นทาส ผู้หญิงในหมู่บ้านวาฮาบีย์ถูกลงโทษให้เสียชีวิต เพียงเพราะเธอออกมาเดินบนถนน ใครสวมผ้าไหมจะถูกลงโทษ ผู้ชายถูกสังหารเพราะสูบบุหรี่
แม้จะใช้คำพูดที่รุนแรงกับพวกวาฮาบีย์ในสภา แต่เชอร์ชิลล์เขียนข้อความทีหลังว่า เขาให้ความนิยมชมชอบกับอิบนุ ซะอูดอย่างลึกซึ้ง เพราะว่าอิบนุ ซะอูดมีความจงรักภักดีต่ออังกฤษอย่างมั่นคง และอังกฤษมีแผนการใหญ่เพื่อใช้ประโยชน์จากการจงรักภักดีของอิบนุ ซะอูดนี้เพื่อสร้างอิทธิพลเหนือโลกอิสลาม
ในปี 1917 ลอนดอนส่ง Harry St John Philby ไปยังซาอุดิ อาราเบียเพื่อที่หาทางเพิ่มอิทธิพลของอังกฤษเหนืออิบนุ ซะอูด อีก10ปีต่อมาในปี1927 มีการเซ็นสนธิสัญญาโดยที่ซาอุดิ อาราเบียจะมอบกิจการต่างประเทศให้อังกฤษดูแล บางส่วนของพวก Ikhwaniไม่เห็นด้วยที่จะอยู่ใต้อำนาจอังกฤษ มีการก่อหวอดเพื่อล้มอิบนุ ซะอูด ซึ่งได้เรียกร้องอังกฤษให้เข้ามาช่วย อั้งกฤษส่งเครื่องบินรบจากอิรัก ดินแดนที่อังกฤษควบคุมอยู่เข้ามาช่วยซะอูด พวกกบฎถูกปราบราบคาบ อิบนุ ซะอูดมีความซึ้งใจมากที่อังกฤษไม่ทอดทิ้งระหว่างที่พวกกบฎก่อหวอด เหตุการณ์นั้นนำไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์ที่พิเศษระหว่างซาอุดิ อาราเบียกับโลกตะวันตก ซึ่งกลายเป็นหัวใจหลักของนโยบายของซาอุดิ อาราเบียจนถึงทุกวันนี้ หมายความว่าซาอุดิ จะอยู่รอดได้จากความขัดแย้งกับกลุ่มประเทศอาหรับอื่นๆต้องได้รับความช่วยเหลือจากอังกฤษ หรือสหรัฐในเวลาต่อมา
หลังจากที่อิบนุ ซะอูดได้เชื่อมสัมพันธ์กับอังกฤษในฐานะพันธมิตรที่แน่แฟ้นได้แล้ว พระองค์ได้มอบหมายพวก Ikhwaniมีบทบาทในการสอนศาสนา และเฝ้าติดตามความศรัทธาในหมู่ประชาชน ส่วนพลังของวาฮาบีย์ได้แปรเปลี่ยนพวกเบดูอินไปเป็นพวกมูจาฮีดีน หรือนักรบเพื่อประเจ้า ต่อมาพวกนักรบจีฮัดในคาบสมุทรอาราเบียใช้อาวุธในการทำสงคราม และคำสอนของซาอุดิจะอ้างคัมภีร์กุระอ่านเสมอ ในปี1932 อิบนุ ซะอูดก่อตั้งซาอุดิ อาราเบียเป็นผลสำเร็จ สถาปนาตัวเองเป็นปฐมกษัตริย์ของราชวงศ์ซาอุ จากการสนับสนุนของอังกฤษ ซาอุดิ อาราเบียเดินหน้าที่จะเป็นผู้เผยแพร่อิสลามหัวรุนแรง โดยซาอุดิจะเป็นศูนย์กลางของอุดมการณ์ และการเงินในการสนับสนุนขบวนการจีฮัดระดับโลก เป็นที่ยอมรับกันว่าวาฮาบีย์เป็นอุดมการณ์แรกเริ่มของจีฮัดในยุคปัจจุบัน
อังกฤษประสบความสำเร็จในการสร้างรัฐใหม่ไม่ว่าจะเป็นบาห์เรน โอมาน อิรักในตะวันออกกลางจากการล่มสลายของออตโตมัน โดยให้ซาอุดิ อาราเบียเป็นเสาหลัก และต่อมาเพื่อที่จะให้ตะวันออกกลางมีความแตกแยกมากยิ่งขึ้น อังกฤษสนับสนุนให้รัฐยิวเกิดขึ้นบนดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งจะทำให้ความขัดแย้ง และสงครามในตะวันออกกลางเลวร้ายมากยิ่งขึ้น เมื่ออังกฤษสร้างทั้งซาอุดิ อาราเบีย และรัฐอิสราเอล ในเบื้องหลึกแล้ว เราจะเห็นได้ว่าทั้ง2ประเทศนี้ดำเนินนโยบายความมั่นคงที่ดูภายนอกำแตกต่าง แต่ภายในแล้วเป็นอันเดียวกัน
อังกฤษเล่นไพ่2ขา หรือทุกขา ให้เงินและทรัพยากรในการสนับสนุนฮุสเซน และอิบนุ ซะอูดในเวลาเดียวกัน ให้รบกันเอง แต่อังกฤษรู้อยู่ในใจแล้วจะให้ใครชนะ อังกฤษมีอิทธิพลเหนือซาอุดิ อาราเบียเพื่อใช้ศาสนาอิสลามในการแบ่งแยก และปกครอง และไม่ให้มีการรวมตัวกันอย่างเข้มแข็งของอิสลามที่อาจจะกลับมาทำร้ายโลกตะวันตกได้ในอนาคต โดยให้อิสลามรบกันเอง ฆ่ากันเอง ต่อมาสหรัฐ ซึ่งมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอังกฤษในฐานะลูกจ๊อก ให้การสนับสนุนซาอุดิ อาราเบียอย่างออกหน้า โดยเฉพาะการสร้างเปโตรดอลล่าร์ และการขายอาวุธให้ซาอุ การการรันตีความมั่นคงให้ซาอุ
ทั้งอังกฤษและสหรัฐเป็นผู้ส่งออกประชาธิปไตย แต่สำหรับซาอุแล้ว กลายเป็นข้อยกเว้น ไม่เคยเลยที่ผู้นำทั้ง2ประเทศจะเรียกร้องให้มีประชาธิปไตย หรือยกเลิกระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือกฎหมายอิสลามที่เคร่งครัด สิทธิมนุษยชนต่างๆ เพราะว่าถ้าอังกฤษ และสหรัฐคุมซาอุได้ ก็เท่ากับว่าโลกอิสลามอยู่ในมือตะวันตกนั้นเอง เมื่อมีการค้นพบบ่อน้ำมันในซาอุดิ อาราเบียเท่ากับว่าอังกฤษลงทุนในซาอุสุดที่จะคุ้ม บ่อน้ำมันของซาอุกลายเป็นขุมทรัพย์ของทั้งอังกฤษและสหรัฐในเวลาต่อมา
แต่อิหร่าน ซึ่งเป็นพวกมุสลิมชีอะห์ ไม่ยอมอยู่ใต้อิทธิพลอังกฤษและสหรัฐ และดิ้นได้สำเร็จด้วย ทำให้สถานการณ์โดยรวมของตะวันออกกลางน่าเป็นกังวลใจเป็นอย่างยิ่ง ยิ่งอาเฮียปูติน และท่านสีเข้ามาหนุนอิหร่าน แล้วทั้งอังกฤษ สหรัฐและซาอุขยับอะไรไม่ออกในเวลานี้
เวลาใครอ้างประชาธิปไตยอย่างพร่ำเพรื่อ ให้มองการกระทำของเขาให้ดีๆด้วย และถามเขากลับด้วยว่าไอซิสอยู่ดีๆมาจากไหน?
ทนง ขันทอง