Toyota C-HR เวอร์ชั่นต้นแบบถูกเปิดตัวครั้งแรกในโลกที่งาน Paris Motor Show 2014 ขณะที่โฉมโปรดัคชั่นถูกเปิดตัวตามมาให้หลังที่งาน Geneva Motor Show 2016 ซึ่งแม้ว่าจะมีการปรับเส้นสายให้เหมาะสมกับการใช้งานจริงมากขึ้น แต่ก็ยังคงให้ซึ่งดีไซน์อันเย้ายวนน่าดึงดูดตั้งแต่ครั้งแรกที่พบเห็น
Toyota C-HR ใหม่ ถูกพัฒนาขึ้นบนแพล็ตฟอร์ม TNGA (Toyota New Global Architecture) ซึ่งถูกใช้กับ Prius เจเนอเรชั่นใหม่ล่าสุดนั่นเอง และยังจะถูกนำไปใช้กับรถรุ่นอื่นๆ ของโตโยต้าในอนาคต เช่น Corolla/Auris หรือแม้กระทั่ง Camry ใหม่อีกด้วย เนื่องจากแพล็ตฟอร์มชุดนี้มีความยืดหยุ่น สามารถประยุกต์ใช้กับรถที่มีขนาดต่างกันไป อีกทั้งยังพัฒนาให้รองรับการติดตั้งขุมพลังไฟฟ้า ทำให้ TNGA กลายเป็นแพล็ตฟอร์มที่ทันสมัยและดีที่สุดของโตโยต้าในขณะนี้
สำหรับ Toyota C-HR ในตลาดบ้านเกิดที่ญี่ปุ่น มีให้เลือกทั้งหมด 2 ขุมพลังด้วยกัน เริ่มต้นที่เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.2 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 116 แรงม้า ที่ 5,200 – 5,600 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 185 นิวตัน-เมตร ที่ 1,500 – 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ Super CVT-i พร้อมระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ให้อัตราสิ้นเปลือง 15.4 กม./ลิตร
แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น ก็คือ ขุมพลังแบบไฮบริดที่จะวางจำหน่ายในบ้านเราด้วย ซึ่งเครื่องยนต์บล็อกนี้ทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.8 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 98 แรงม้า ที่ 5,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 142 นิวตัน-เมตร ที่ 3,600 รอบต่อนาที ควบคู่กับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 72 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 163 นิวตัน-เมตร ส่งกำลังด้วยเกียร์ซีวีทีแบบไฟฟ้า และมีให้เลือกเฉพาะรุ่นขับเคลื่อนสองล้อ ซึ่งหากเทียบกับสเป็คเครื่องยนต์ของ Prius ใหม่ จะเห็นว่าตัวเลขสมรรถนะออกมาเท่ากันพอดี
สำหรับแบตเตอรี่ของ C-HR Hybrid 2018 ใหม่ เป็นแบบ Nickel-metal Hydride (Ni-MH) ความจุ 6.5 แอมป์แปร์-ชั่วโมง (Ah) ให้แรงดันไฟสูงถึง 201.6 โวลต์ มีประสิทธิภาพการชาร์จเพิ่มขึ้น 28 เปอร์เซ็นต์ แต่มีขนาดเล็กลงจากเดิม 10 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งหลายคนยังคงถกเถียงว่าทำไมโตโยต้าไม่ใช้แบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน เช่นเดียวกับค่ายอื่นๆ ยังใช้แบตเตอรี่แบบ Ni-MH ที่ดูเหมือนจะล้าหลังกว่าชาวบ้านเขา ประเด็นนี้โตโยต้าเคยให้คำตอบว่าความจริงแล้วโตโยต้ามีแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออนให้เลือกใน Prius ด้วย (เฉพาะตลาดญี่ปุ่น) แต่ยอดขายส่วนใหญ่ยังคงเป็นแบตเตอรี่แบบ Ni-MH อยู่ดี ซึ่งแบตเตอรี่ทั้งสองแบบมีข้อดี-ข้อด้อยต่างกันไป เช่น…
แบตเตอรี่แบบนิกเกิลให้ประสิทธิภาพการปล่อยประจุไฟฟ้าดีกว่าแบบลิเธียม ในขณะเดียวกันแบตลิเธียมก็ให้ประสิทธิภาพการชาร์จไฟดีกว่า ส่วนประสิทธิภาพด้านอื่นๆ เช่น ขนาด, ความทนทาน, ราคา และความปลอดภัย อยู่ในระดับเดียวกัน
ขณะเดียวกันหากพูดถึงกระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่นั้น โตโยต้าระบุว่าแบตเตอรี่แบบนิกเกิล สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ทั้งหมด ขณะที่แบตเตอรี่แบบลิเธียมปัจจุบันยังไม่มีเทคโนโลยีเพียงพอในการกำจัดหรือนำกลับมาใช้อย่างสมบูรณ์ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งแปลว่าในระยะยาวนั้น แบตเตอรี่แบบนิกเกิลเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากกว่า บนพื้นฐานของเทคโนโลยีในปัจจุบัน
ตัวแบตเตอรี่ถูกติดตั้งไว้บริเวณใต้เบาะนั่งด้านหลัง ช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระได้มากขึ้น และยังช่วยลดจุดศูนย์ถ่วงของรถให้ต่ำลงได้ อันเป็นผลจากการพัฒนาแพล็ตฟอร์ม TNGA ให้เหมาะสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ
ด้านดีไซน์ของ Toyota C-HR 2018 ถูกติตดั้งไฟหน้าแบบโปรเจคเตอร์ LED พร้อม Daytime Running Light ซึ่งหากเป็นรุ่น LED Edition ก็จะได้ไฟเลี้ยวแบบ LED ด้วย ซึ่งเป็นไฟเลี้ยวแบบไดนามิคที่จะสว่างขึ้นจากด้านในสู่ด้านนอก ดูสวยงาม ขณะที่ไฟท้ายก็จะเป็น LED แบบเส้น พร้อมไฟเลี้ยวและไฟถอยหลังแบบ LED ทั้งหมด ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าเมื่อวางจำหน่ายในบ้านเราแล้ว จะได้ไฟแบบไหนเข้ามา
ดีไซน์ตัวถังเน้นความโฉบเฉี่ยวด้วยไฟหน้าทรงเรียวยาวต่อเนื่องกับกระจังหน้า เส้นสายแนวประตูออกแบบให้ดูเว้าลึกชัดเจน ซึ่งไม่ค่อยจะพบเห็นนักจากค่ายโตโยต้า โป่งซุ้มล้อขนาดใหญ่ช่วยเสริมให้รถดูมั่นคง แข็งแรง แนวหลังคาลาดเทไปทางด้านหลัง พร้อมสปอยเลอร์ขนาดใหญ่เหนือประตูท้าย ขณะที่ไฟท้ายถูกออกแบบให้ดูโฉบเฉี่ยว พร้อมกันชนท้ายที่ตกแต่งให้ดูบึกบึน ประตูคู่หลังถูกออกแบบที่เปิดไว้บริเวณขอบหน้าต่าง เน้นความเป็นรถคูเป้สองประตู
ซึ่งห้องโดยสารด้านหน้าให้ความรู้สึกเหมือนกับนั่งอยู่ในรถระดับ B-Segment ทั่วไป ความกว้างแม้จะไม่ได้มากมายนัก แต่ก็ไม่ถึงกับอึดอัด ตำแหน่งเบาะนั่งค่อนข้างสูงตามสไตล์รถครอสโอเวอร์ พื้นที่เหนือศีรษะเหลือเฟือเพียงพอ
ช่วงล่างของ Toyota C-HR ถูกเซ็ทมาค่อนข้างหนึบและหนักแน่นกว่าที่คิดไว้ แต่ยังเหลือความนุ่มไว้ซับแรงสะเทือนได้บ้าง ตัวรถสามารถลัดเลาะไปตามแนวเขาได้อย่างมั่นคง แต่ทว่าความเร็ว 60 กม./ชม. ก็ไม่สูงพอที่จะให้ช่วงล่างได้แสดงความสามารถออกมาได้อย่างเต็มที่นัก แต่ก็พอจะบอกได้ว่าช่วงล่างของ C-HR ถูกเน้นความสปอร์ต แน่นหนึบ ตามที่มันควรจะเป็นตั้งแต่แรก